
พระของนิกายเบเนดิท เขาคิดค้นระบบบรรทัดเส้น (staff-notation) ขึ้น และยังคงใช้ระบบนี้อยู่ในปัจจุบัน อีกทั้งยังทำให้เกิดสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ เพื่อประโยชน์ในทางความก้าวหน้าของดนตรีทั้งศาสตร์และศิลป์ เขาได้รับการศึกษาโดยมิชชันนารี และเมื่อเรียนจบเขาก็เป็นมิชชันนารีในนิกายเบเนดิท ณ โบสถ์ St. Maur des Fosses ในกรุงปารีส
เมื่อเขาเริ่มทำงาน เขาสังเกตเห็นความความสับสน ในการสอนและการแสดงทางพิธีกรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สิ่งที่แวดล้อมรอบตัวเขาในขณะนั้น เขาพยายามที่จะปรับปรุงสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นโดยคิดค้นวิธีการสอนที่ใช้กันในปัจจุบัน ซึ่งเขาได้อธิบายไว้อย่างละเอียดในงานเขียนของเขา เป็นผลทำให้เขาและพี่ชายไม่ค่อยได้รับความนิยมเท่าไรนัก และทำให้เขาย้ายไปอยู่ที่เมือง Pomposaใกล้เมือง Ferrara ประเทศอิตาลี แผนการต่าง ๆ รวมถึงการกล่าวร้ายทำให้เขาต้องย้ายเข้าไปอยู่ในอารามที่เมือง Arezzo
ไม่มีความแน่นอนว่าเค้าจะเข้าไปในชุมชนเมื่อไหร่ แต่มันทำให้เกิดตำแหน่ง Theudald ซึ่งคล้าย ๆ กับ Bishop ของ Arezzo และในขณะนั้น Grunwald เป็นเจ้าอาวาสของอารามนั้น ชื่อเสียงของเขาเข้าถึงหูพระสันตะปาปา ซึ่งส่งทูตไปผลักดันให้ Guido มาอยู่ที่กรุงโรมและนำเสนอหนังสือของเขาซึ่งเกี่ยวกับพิธีสักการะบูชาซึ่งถอดความมาจาก sign-notation และดัดแปลงเป็น staff-notation ที่เขาคิดค้นขึ้น
จอห์นหลงดีใจไปว่าพระสันตะปาปา ท่านเป็นผู้คิดค้นทุกอย่างเองโดยไม่ต้องรับความช่วยเหลือจากใคร และได้เชิญให้ Guido มาพักในกรุงโรม เพื่อสอนพระโรมันในระบบใหม่ และเพื่อนำเสนอหลักปฏิบัติทั่วไป โชคร้ายที่สภาพอากาศในโรมันทำให้ Guido ไม่สามารถไปตามคำเชิญได้ เขาป่วยเพราะอากาศไม่ดี และจำเป็นต้องออกจากเมืองไป เขากลับไปที่อารามในเมือง Pomposa Guido และนักบวชรูปอื่นที่ทำให้ Guido ผิดหวังจากการคัดค้านสิ่งที่เขาคิด ซึ่งตอนนี้นักบวชเหล่านี้ยอมรับในสิ่งที่ Guido คิดค้นขึ้นอย่างหมดใจ และยอมรับความผิดที่พวกเขาได้ทำไว้กับ Guido และได้ขอร้องให้ Guido มาร่วมเป็นสมาชิกในชุมชนเดียวกับพวกเขา Guido อยู่ที่ Pomposa เพียงช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น จากนั้นเขาก็ย้ายไปอยู่ที่ Arezzo
ตามที่ปรากฏในจดหมายเหตุ Guido ใช้เวลาที่เหลือของเขาในเมือง Arezzo และมีหลักฐานยืนยันว่าเขาเป็นรองเจ้าอาวาสอยู่ที่อาราม Camaldolese ใกล้เมือง Avellano และเสียชีวิตที่นั้นในปี ค.ศ. 1050 สิ่งที่เขาเหลือไว้ให้ชนรุ่นหลังคือ หนังสือชื่อ Epistola Michaeli Monaco Pomposiano ซึ่งเขาแต่งขึ้นเองโดยใช้ภาษาง่าย ๆ ส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับชีวิต เหตุการณ์สำคัญ การทดลอง และชัยชนะครั้งสุดท้าย ที่เขาชนะศัตรู (ผู้ที่คัดค้านการคิดค้นของเขา)
ผลงานของ Guido D’ Arezzo
เขาคิดค้นระบบบรรทัดเส้น (staff-notation) ขึ้น และยังคงใช้ระบบนี้อยู่ในปัจจุบัน อีกทั้งได้พัฒนาวิธีการสอนใหม่ ๆ เช่น การเขียนบรรทัด 5เส้น (staff-notation),
ระบบซอลเมเซชั่น (Solmization)
Guidoได้แนะนำให้ใช้คำต่อไปนี้ ut , le , mi , fa , sol , la เพื่อช่วยให้นักร้องจำแบบแผนของคู่เสียง 1 เสียงและครึ่งเสียงที่เรียงกัน 6 โน้ตโดยเริ่มจากโน้ต C หรือ G ก็ได้เช่น C-D-E-F-G-A จะมีขั้นครึ่งเสียงอยู่ระหว่างโน้ตตัวที่ 3 และ 4 ที่เหลือเป็นขั้น 1 เสียง คำกล่าวนี้ถูกนำมาจากคำร้องเพลง hymn(ก่อนค.ศ.800) ซึ่งตัว Guido เองคงเป็นผู้แต่งทำนองไว้เองเพื่อเป็นตัวอย่างให้เห็นแบบแผนของเสียง ชื่อเพลง Ut queant laxis พยางค์แรกของทั้ง 6 วรรคนี้ คือที่มาของแต่ละขั้นเสียง ระบบซอลเมเซชั่น (Solmization) นี้ (ปัจจุบันเรียกว่าระบบ sol-mi ) ที่ยังคงใช้ในการเรียนการสอน ยกเว้นคำว่า ut (อุท) ที่เปลี่ยนเป็น do และเพิ่มเสียง ti หลังตัว la ข้อดีของแบบแผน 6 เสียงคือ จะมีขั้นคู่ครึ่งเสียงเพียงที่เดียวคือ ระหว่างโน้ต mi กับ fa เท่านั้น
เมื่อเขาเริ่มทำงาน เขาสังเกตเห็นความความสับสน ในการสอนและการแสดงทางพิธีกรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สิ่งที่แวดล้อมรอบตัวเขาในขณะนั้น เขาพยายามที่จะปรับปรุงสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นโดยคิดค้นวิธีการสอนที่ใช้กันในปัจจุบัน ซึ่งเขาได้อธิบายไว้อย่างละเอียดในงานเขียนของเขา เป็นผลทำให้เขาและพี่ชายไม่ค่อยได้รับความนิยมเท่าไรนัก และทำให้เขาย้ายไปอยู่ที่เมือง Pomposaใกล้เมือง Ferrara ประเทศอิตาลี แผนการต่าง ๆ รวมถึงการกล่าวร้ายทำให้เขาต้องย้ายเข้าไปอยู่ในอารามที่เมือง Arezzo
ไม่มีความแน่นอนว่าเค้าจะเข้าไปในชุมชนเมื่อไหร่ แต่มันทำให้เกิดตำแหน่ง Theudald ซึ่งคล้าย ๆ กับ Bishop ของ Arezzo และในขณะนั้น Grunwald เป็นเจ้าอาวาสของอารามนั้น ชื่อเสียงของเขาเข้าถึงหูพระสันตะปาปา ซึ่งส่งทูตไปผลักดันให้ Guido มาอยู่ที่กรุงโรมและนำเสนอหนังสือของเขาซึ่งเกี่ยวกับพิธีสักการะบูชาซึ่งถอดความมาจาก sign-notation และดัดแปลงเป็น staff-notation ที่เขาคิดค้นขึ้น
จอห์นหลงดีใจไปว่าพระสันตะปาปา ท่านเป็นผู้คิดค้นทุกอย่างเองโดยไม่ต้องรับความช่วยเหลือจากใคร และได้เชิญให้ Guido มาพักในกรุงโรม เพื่อสอนพระโรมันในระบบใหม่ และเพื่อนำเสนอหลักปฏิบัติทั่วไป โชคร้ายที่สภาพอากาศในโรมันทำให้ Guido ไม่สามารถไปตามคำเชิญได้ เขาป่วยเพราะอากาศไม่ดี และจำเป็นต้องออกจากเมืองไป เขากลับไปที่อารามในเมือง Pomposa Guido และนักบวชรูปอื่นที่ทำให้ Guido ผิดหวังจากการคัดค้านสิ่งที่เขาคิด ซึ่งตอนนี้นักบวชเหล่านี้ยอมรับในสิ่งที่ Guido คิดค้นขึ้นอย่างหมดใจ และยอมรับความผิดที่พวกเขาได้ทำไว้กับ Guido และได้ขอร้องให้ Guido มาร่วมเป็นสมาชิกในชุมชนเดียวกับพวกเขา Guido อยู่ที่ Pomposa เพียงช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น จากนั้นเขาก็ย้ายไปอยู่ที่ Arezzo
ตามที่ปรากฏในจดหมายเหตุ Guido ใช้เวลาที่เหลือของเขาในเมือง Arezzo และมีหลักฐานยืนยันว่าเขาเป็นรองเจ้าอาวาสอยู่ที่อาราม Camaldolese ใกล้เมือง Avellano และเสียชีวิตที่นั้นในปี ค.ศ. 1050 สิ่งที่เขาเหลือไว้ให้ชนรุ่นหลังคือ หนังสือชื่อ Epistola Michaeli Monaco Pomposiano ซึ่งเขาแต่งขึ้นเองโดยใช้ภาษาง่าย ๆ ส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับชีวิต เหตุการณ์สำคัญ การทดลอง และชัยชนะครั้งสุดท้าย ที่เขาชนะศัตรู (ผู้ที่คัดค้านการคิดค้นของเขา)
ผลงานของ Guido D’ Arezzo
เขาคิดค้นระบบบรรทัดเส้น (staff-notation) ขึ้น และยังคงใช้ระบบนี้อยู่ในปัจจุบัน อีกทั้งได้พัฒนาวิธีการสอนใหม่ ๆ เช่น การเขียนบรรทัด 5เส้น (staff-notation),
ระบบซอลเมเซชั่น (Solmization)
Guidoได้แนะนำให้ใช้คำต่อไปนี้ ut , le , mi , fa , sol , la เพื่อช่วยให้นักร้องจำแบบแผนของคู่เสียง 1 เสียงและครึ่งเสียงที่เรียงกัน 6 โน้ตโดยเริ่มจากโน้ต C หรือ G ก็ได้เช่น C-D-E-F-G-A จะมีขั้นครึ่งเสียงอยู่ระหว่างโน้ตตัวที่ 3 และ 4 ที่เหลือเป็นขั้น 1 เสียง คำกล่าวนี้ถูกนำมาจากคำร้องเพลง hymn(ก่อนค.ศ.800) ซึ่งตัว Guido เองคงเป็นผู้แต่งทำนองไว้เองเพื่อเป็นตัวอย่างให้เห็นแบบแผนของเสียง ชื่อเพลง Ut queant laxis พยางค์แรกของทั้ง 6 วรรคนี้ คือที่มาของแต่ละขั้นเสียง ระบบซอลเมเซชั่น (Solmization) นี้ (ปัจจุบันเรียกว่าระบบ sol-mi ) ที่ยังคงใช้ในการเรียนการสอน ยกเว้นคำว่า ut (อุท) ที่เปลี่ยนเป็น do และเพิ่มเสียง ti หลังตัว la ข้อดีของแบบแผน 6 เสียงคือ จะมีขั้นคู่ครึ่งเสียงเพียงที่เดียวคือ ระหว่างโน้ต mi กับ fa เท่านั้น
ตัวอย่าง

การเขียนตัวโน้ต (Notation)
ในสมัยนั้นยังไม่มีการบันทึกโน้ตบนบรรทัดเส้นแต่มีการถ่ายทอดเพลง chant แบบปากต่อปาก จนประมาณกลางศตวรรษที่ 9 มีเครื่องหมายที่เราเรียกว่า noumes ใช้ขีดบนร้องคำเพื่อให้รู้ว่า ตอนนี้กำลังขึ้นหรือลงหรือผสมกันทั้งสองแบบ จนถึงศตวรรษที่ 11 Guido D’ Arezzo จึงได้นำเสนอวิธีการใช้เส้น 4 เส้น (four-line staff ) โดยใช้อักษรบอกเส้น f , c และบางครั้งก็มี g (ที่กลายมาเป็นเครื่องหมายกุญแจของ [clef ] ปัจจุบัน)
ในสมัยนั้นยังไม่มีการบันทึกโน้ตบนบรรทัดเส้นแต่มีการถ่ายทอดเพลง chant แบบปากต่อปาก จนประมาณกลางศตวรรษที่ 9 มีเครื่องหมายที่เราเรียกว่า noumes ใช้ขีดบนร้องคำเพื่อให้รู้ว่า ตอนนี้กำลังขึ้นหรือลงหรือผสมกันทั้งสองแบบ จนถึงศตวรรษที่ 11 Guido D’ Arezzo จึงได้นำเสนอวิธีการใช้เส้น 4 เส้น (four-line staff ) โดยใช้อักษรบอกเส้น f , c และบางครั้งก็มี g (ที่กลายมาเป็นเครื่องหมายกุญแจของ [clef ] ปัจจุบัน)

ฝ่ามือกีโด (Guidonian hand) สื่อการสอนที่ใช้บอกให้รู้ถึง ตำแหน่งของ ระดับเสียงต่าง ๆ ในระบบบันใดเสียงไดอะโทนิก โดยเฉพาะตำแหน่งครึ่งเสียงระหว่างโน้ต มี – ฟา ซึ่งอยู่ที่มุมทั้งสี่ของ polygon ประกอบด้วยนิ้ว 4 นิ้ว
การประดิษฐ์เส้น staff นี้ทำให้สามารถเขียนโน้ตที่เจาะจงตำแหน่งเสียงได้อย่างถูกต้องแม่นยำ และทำให้ได้หลุดพ้นจากการเรียนแบบต่อจำด้วย
การประดิษฐ์เส้น staff นี้ทำให้สามารถเขียนโน้ตที่เจาะจงตำแหน่งเสียงได้อย่างถูกต้องแม่นยำ และทำให้ได้หลุดพ้นจากการเรียนแบบต่อจำด้วย