หน้าเว็บ

2553-03-01

History 6 : Alessandro Scarlatti



อเลสแซนโดร สคาร์ลัตตี (Alessandro Scarlatti)
นักประพันธ์เพลงยุคบาโรค ชาวอิตาเลียน เกิดเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม ค.ศ. 1660 ที่เมืองพาเลอร์โม (Palermo) นครหลวงของซิซิลี (Sicily) และเสียชีวิตเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 1975 ที่เมืองเนเปิลส์

ประวัติการเรียน
เขาเกิดมาในครอบครัวที่เป็นนักดนตรีโดยอาชีพ พี่น้องของเขาล้วนแล้วแต่เป็นนักดนตรีด้วยกันทั้งสิ้น จึงทำให้หนูน้อยอเลสแซนโดรเล่นดนตรีตามเขาด้วย และในจำนวน 7 คนพี่น้องนั้น อเลสแซนโดรนับว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์มากกว่าใคร เพราะ ต่อมาภายหลังเขาเป็นได้กลายเป็นนักดนตรีที่มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่ประจักษ์โดยทั่วไป

ชีวิตในตอนปฐมวัยของเขา ไม่มีใครทราบแน่ชัดนัก ทราบเพียงแต่ว่าเขาเดินทางไปยังกรุงโรมเมื่อ ค.ศ. 1627 ขณะที่มีอายุเพียง 12 ขวบ ได้เข้าเรียนวิชาดนตรีกับครูคนหนึ่งชื่อ คาริสซิมิ (Giacomo Carissimi ค.ศ. 1605-1674) นักแต่งเพลงที่มีชื่อเสียงชาวอิตาเลียน และเป็นบุคคลสำคัญในยุคเริ่มต้นของเพลงประเภท Oratorio และ Cantata อเลสแซนโดรเรียนกับครูผู้นี้อยู่เพียง 2 ปี ครูท่านก็ถึงแก่กรรม เขาจึงได้ไปเรียนกับโจวานนี เลเกรนซี (Giovanni Legrenzi ค.ศ. 1626-1690) และอเลสแซนโดร สตราเดลลา

ประวัติการทำงาน
อเลสแซนโดร สคาร์ลัตตี เริ่มมีชื่อเสียงปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อเขานำอุปกรณ์เรื่อง L’errore Innocente (หรือ Gli equivoci nel sembiante) ซึ่งแต่งขึ้นเอง ออกแสดงเป็นครั้งแรกที่กรุงโรม เมื่อ ค.ศ. 1679 จากการแสดงอุปกรณ์ในครั้งนี้ เป็นผลให้พระราชินีคริสตินาแห่งสวีเดน (Queen Christina of Sweden) ซึ่งประทับอยู่ในกรุงโรม ทรงสนพระทัยในตัวเขามาก จึงได้ตกลงว่าจ้างเขาให้เป็นผู้กำกับวงดนตรีประจำโรงละครส่วนพระองค์ อเลสแซนโดรทำงานให้พระนางคริสตินาเป็นเวลา 4 ปี ตั้งแต่ ค.ศ. 1680-1684 และได้แต่งเพลง L’onesta negli amori (ค.ศ. 1680) Il Pompeo (ค.ศ. 1683) และหลังจากนั้นเขาก็ได้เดินทางไปเมืองเนเปิลส์ (Naples) และเปิดการแสดงเพลง Il Pompeo ที่นั้นเมื่อ ค.ศ. 1684 หลังจากแสดงเรื่องนี้แล้ว เขาก็ได้รับตำแหน่งผู้กำกับวงดนตรีของราชสำนักเมืองเนเปิลส์ ทำงานตั้งแต่ ค.ศ. 1684-1702 ในระหว่างที่อยู่กรุงโรมนั้น เขามีครอบครัวแล้ว มีลูก 5 คน ชาย 3 คน หญิง 2 คนและเมื่อย้ายมาอยู่เมืองเนเปิลส์ได้เพียงปีเดียว เขาก็ได้ลูกคนที่ 6 เป็นชาย ซึ่งเขาได้ตั้งชื่อว่า โดเมนีโค สคาร์ลัตตี (Domenico Scarlatti) ซึ่งต่อมาก็เป็นนักดนตรีที่มีชื่อเสียง ซึ่งจะได้กล่าวถึงต่อไป


อเลสแซนโดทำงานอยู่ที่ราชสำนักเมืองเนเปิลส์เป็นเวลานานถึง 18 ปี จึงลาออกไปอยู่ที่ฟลอเรนซ์ (Florence) ในระหว่างปี ค.ศ 1702-1703 โดยทำงานเป็นนักแต่งเพลงประจำโรงละคร อุปกรณ์ของเจ้าชายเฟอร์ดินันโด ที่ 3 เดอ เมดิซี (Prince Ferdinando III de Medici) แห่งทุสคานี (Tuscany) ทำงานอยู่ได้ปีเดียวก็ย้ายกลับไปอยู่ที่โรมอีกและได้ตำแหน่งเป็นครูผู้ควบคุมหมู่นักร้องเด็ก ๆ ในโบสถ์ (Choirmaster)ซันตามาเรียในกรุงโรม (Santa Maria Maggiore in Rome) สืบต่อจาก Ant.Foggia ในขณะเดียวกันก็ได้เป็นนายวงดนตรีให้แก่ คาร์ดินัล ปิโตร ออตโตโบนี (Cardinal Pietro Ottoboni) ค.ศ. 1709 จึงย้ายครอบครัวไปอยู่ที่เมืองเนเปิลส์อีกระยะหนึ่ง และได้ไปเป็นผู้กำกับวงดนตรีให้แก่ออสเตรียน ไวซ์รอย (Austrian Viceroy) จนกระทั่งได้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการของสถาบันการดนตรี Conservatory di Sant’ Onofrio และในขณะเดียวกันก็ได้เป็นครูสอนดนตรีให้แก่สถาบันการดนตรีซันมาตาเรียดิลอเรโท (Conservatorio di Santa Maria di Loreto) อีกด้วย ต่อมาในปี ค.ศ. 1719 กลับมาที่โรมอีกครั้งและอยู่ที่นี่ประมาณ 5 ปี เมื่อถึง ค.ศ 1723 จึงเดินทางไปอยู่เนเปิลส์อีก 2 ปี จนกระทั่งถึงแก่กรรม

History 5 : Chaconne, Passacaglia

Chaconne
Chaconne เป็นชื่อเรียกรูปแบบของบทเพลงชนิดหนึ่งที่เป็นบทเพลงแปรทำนองและเป็นเพลงประเภทเต้นรำหรือเป็นบทเพลงบรรเลงของฝรั่งเศสที่ได้รับความนิยมมากในยุคบาโรค (Baroque) ต้นกำเนิดนั้นคือเพลงเต้นรำ Latin America และเป็นที่นิยมในประเทศสเปนและอิตาลีในช่วงศตวรรษที่ 17 แต่ในที่สุดก็เป็นชื่อของรูปแบบของบทเพลง (Musical Form)

Chaconne ถือว่าเป็นหนึ่งในรูปแบบของกลุ่ม Variations form หมายถึงการใช้การแปรเป็นหลักในบทเพลง เป็นสังคีตลักษณ์ที่โครงสร้างไม่แบ่งเป็นตอนต่างๆ แต่บทเพลงสามารถดำเนินไปได้ด้วยการแปรทำนองที่นำเสนอครั้งแรก โดยแปรอย่างต่อเนื่องหลายครั้ง รูปแบบอื่นที่อยู่ในกลุ่มนี้เช่นเดียวกับ Chaconne ได้แก่ Chorale prelude, Passacaglia, Ground, Ostinato, Free variations แต่ Chaconne จะมีความคล้ายคลึงกับ Passacaglia มากที่สุดแทบจะแยกไม่ออกแต่ ซึ่ง Passacaglia มีจังหวะช้ากว่าเล็กน้อย
Chaconne มีจังหวะค่อนข้างช้าในอัตราจังหวะสามมีแนวเบสยืนพื้นหรือการดำเนินคอร์ดยืนพื้นความยาวประมาณ 4 หรือ 8 ห้อง ซึ่งเล่นซ้ำไปมาหลายครั้งอย่างต่อเนื่อง บทเพลงตัวอย่างที่แต่งด้วยรูปแบบนี้ที่มีชื่อเสียงที่สุดก็คือ Chaconne ของ J. S. Bach (J. S. Bach's Chaconne) เล่นในคีย์ D Minor ด้วยชุดของไวโอลิน และ Passacaglia ของ J. S. Bach (J. S. Bach's Passacaglia) เล่นในคีย์ C Minor สำหรับออร์แกน

อย่างไรก็ตาม เพลงเต้นระบำแบบ Chaconne ได้แพร่หลายไปยังฝั่งยุโรป มันค่อยๆพัฒนากลายไปเป็นรูปแบบทางดนตรีที่แต่งต่างโดยใช้เทคนิคการแปรทำนอง ในขณะที่การดำเนินคอร์ดได้ถูกพัฒนาจากต้นฉบับแต่เพลงประกอบการเต้นได้หวนกลับไปเป็นทำนองที่มีเสียงต่ำซึ่งเป็นทำนองที่ทำหน้าที่เป็นส่วนประกอบหลักของการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง และโดยปกติแล้วถ้าเล่นเป็นกลุ่มทำนองเพลงเหล่านั้นจะถูกเล่นด้วยกลุ่มของ Continuo (เครื่องดนตรีสองชิ้นที่เล่นแนวเบสต่อเนื่อง ประกอบด้วยเครื่องสายเสียงต่ำและคีย์บอร์ด โดยคีย์บอร์ดจะเล่นด้นสดแนวเบสตัวเลข) รูปแบบของการยืนพื้นเบสเสียงต่ำจะถูกเล่นซ้ำๆมากเกินและมากกว่าส่วนอื่นๆทั้งหมด และส่วนเสียงสูงจะก่อให้เกิดความหลากหลาย

หลังจากยุคบาโรค การประพันธ์เพลงแบบ Chaconne ไม่ค่อยได้รับความนิยมนัก โดยตัวอย่างเพลงในยุคหลังได้แก่ 32 Variations in C minor ของบีโทเฟ่น และมีการใช้เป็นบางส่วนในบางชิ้นงานของ Gluck และ Mozart รวมถึงในศตวรรษที่19 ที่มีการใช้ Chaconne และ Passacaglia ในเพลงและถูกเรียกว่า Oscinato Variations

Oscinato Variations



- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

Passacaglia

เป็นรูปแบบของดนตรีชนิดหนึ่งกำเนิดเมื่อช่วงต้นของศตวรรษที่17ในประเทศสเปนและรูปแบบนี้นักประพันธ์ยังคงนิยมใช้จนถึงปัจจุบัน เพลงประเภทนี้มักมีลักษณะที่รุนแรง มีรากฐานในการใช้ Bass-Ostinato คือการใช้กลุ่มแนวเบสที่เป็นกลุ่มโน้ตซ้ำๆ และมักเขียนในอัตราจังหวะ 3/4 เป็นการบรรงเลงของดนตรีประกอบสลับกันระหว่างการเต้นและการร้องรูปแบบของ Passacagliaได้ถูกบัญญัติขึ้นใหม่ในปี 1620 โดยนักประพันธ์ชาวอิตาเลี่ยน ชื่อ Girolamo Frescobaldi เขาได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบของแนวเบสให้เปลี่ยนแปลงแตกต่างกันมีความอิสระมากขึ้นแต่ยังคงอยู่ในคอร์ดหลักเหมือนเดิมซึ่งนักประพันธ์ยุคหลังก็ได้นำรูปแบบนี้มาใช้ เช่นเดียวกับ Chaconne ได้รับการปรับปรุงพัฒนาจาก Frescobald ซึ่งดนตรี 2 ประเภทนี้มีความใก้ลเคียงกันมาก นักวิชาการได้พยายามแบ่งแยกลักษณะของทั้ง 2 ประเภทนี้ออกอย่างชัดเจนโดยการศึกษาประวัติที่มาของทั้ง 2 แต่ในที่สุดผลสรุปได้ว่าทั้ง 2 ประเภทแตกต่างกันโดย Chaconne มีการใช้เสียงประสานที่เป็นมีความสัมพันกันกับทำนองแนวบนสุด แต่ Passacaglia ได้ถูกสร้างให้เป็นรูปแบบบนแนวเบสที่เป็นระบบ แต่ในศตวรรษที่ 17 และ 18 นักประพันธ์ส่วนใหญ่จงใจผสมผสานให้ดนตรี 2 ประเภทนี้ให้มีลักษณะการประพันธ์เหมือนกัน

History 4 : Ein’ fest Burg ist unser gott, (A Mighty fortress is our god) Martin Luther



‘A Mighty Fortress Is Our God’ เพลงของมาร์ติน ลูเธอร์ซึ่งเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี เขาประพันธ์เนื้อร้อง และทำนองในช่วงปี ค.ศ. 1527 ถึง 1529 เดิมทีเพลงนี้มีเนื้อร้องเป็นภาษาเยอรมัน และได้ถูกแปลเป็ยภาษาอังกฤษ และภาษาอื่นๆ อีกกว่า 70 ภาษา
‘A Mighty Fortress Is Our God’ เพลงซึ่งเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีของนิกาย Lutheran และ Protestant มีคนเรียกเพลงนี้ว่า “เพลงสวดแห่งการปฏิวัติ” อิทธิพลของเพลงนี้ทำให้มีการสนับสนุนการปฏิวัติมากขึ้น
ดังเช่น Jean-Henri Merle d'Aubigné กล่าวว่า เจ้าชายในนิกาย Lutheran ได้ขับร้องเพลงนี้ในปี 1530 การประพันธ์เพลงนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการอดอาหารของกลุ่มคนซึ่งคัดค้านการปกครองของ Charles ที่ 5 ในปี 1529 บทสวดที่ค้นพบล่าสุดอยู่ในสมัยแอนดรูว์ ราวเซอร์ ในปี 1531 แต่บทสวดนี้น่าจะปรากฏอยู่วน บทสวด Writtenberg ของโจเซฟ คลัคที่แต่งขึ้นในปี 1529 ซึ่งต่อมามีการสูญหายเกิดขึ้น หลักฐานชิ้นนี้สนับสนุนว่าบทสวดนี้ได้แต่งขึ้นในช่วงปี 1527 – 1529 ตั้งแต่นั้นมา บทสวดของลูเธอร์ก็ได้รับการตีพิมพ์ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น มีหลักฐานว่ากษัตริย์ King Gustavus Adolphus แห่งสวีเดนได้เข้าร่วมในสงคราม 30 ปี บทสวดนี้ก็ได้รับการแปลเป็นภาษาสวีดิชในปี 1536 โดย Olaus Petri ต่อมาในศตวรรษที่ 1800 บทสวดนี้ได้กลายเป็นเพลงสดุดีแด่นักสังคมนิยมชาวสวีดิช
บทสวดนี้ได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษครั้งแรกโดย Myles Coverdaleในปี 1539 โดยใช้ชื่อบทสวดว่า “Oure God is a defence and towre” (พระเจ้าของพวกเราคือสิ่งคุมครอง) โดยมีใจความว่า พระเจ้าเป็นที่พึ่งในยามที่เรามีความทุกข์ และช่วยให้เราเข้มแข็ง
ในปัจจุบันบทสวดนี้เป็นที่รู้จักกันดีในนิกาย คาธอลิค ซึ่งปรากฏอยู่ในหนังสือ Catholic Book of Worship ซึ่งพิพม์โดยบาทหลวงคาธอลิคชาวแคแนเดียน การแปลบทสวดเป็นภาษาอังกฤษที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ เวอร์ชั่น A Mighty Fortress is Our God. (ป้อมปราการอันยิ่งใหญ่ของเราคือพระเจ้า) ซึ่งแปลโดย Frederick H. Hedge ในปี 1853 เวอร์ชั่นอื่นที่ได้รับความนิยมได้รับการแปลโดย Thomas Carlyle

ทำนองเพลง
ลูเธอร์ประพันธ์ทำนองเพลงโดยใช้ชื่อว่า "Ein' Feste Burg"แต่บางครั้งจะเรียกว่า "rhythmic tune" เพื่อให้เห็นถึงความแตกต่าง ระหว่าง 87.87.55.56.7. และ 87.87.66.66.7 ซึ่งต่อมาเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในคริสตจักร ในปึ 1906 Edouard Roehrichได้ประพันธ์เพลงซึ่งมากความแตกต่างกับเพลงที่ร้องกันในโบสถ์นิกาย Protestant เป็นอย่างมาก ทำนองเดิมนั้นมีความคล้ายกับทำนาองบทสวดอย่างมากทีเดียว ในช่วงศตวรรษที่ 19 นักดนตรีต่อต้านลูเธอร์เป็นอย่างมากที่เขาเปลี่ยนจากการเขียนบทความ มาแต่งเพลง ซึ่งต่อมานักดนตรีทั้งหลายก็พากันยอมรับว่าลูเธอร์ได้ประพันธ์ทำนองและคำร้องที่เข้ากันได้เป็นอย่างดี

History 3 : Zarlino, Gioseffo


Zarlino เป็นนักประพันธ์เพลงและนักทฤษฎีดนตรีชาวอิตาเลียน เขาเป็นหัวหน้านักทฤษฎีเกี่ยวกับศิลปะการประสานท่วงทำนองในศตวรรษที่ 16 ในหนังสือ Le istitutioni harmoniche ของเขามีจุดที่น่าสังเกตเกี่ยวกับความเป็นมาของทฤษฎีดนตรี ซึ่งทฤษฎีของเขานั้นได้รับการผสมผสานกันระหว่างการคาดการณ์และหลักการตามความเป็นจริง ซึ่งได้บัญญัติเป็นระบบ Willaert’s methods เพื่อเป็นรูปแบบของการเขียนซึ่งประกอบด้วยท่วงทำนองที่ค่อนข้างอิสระ



หลังจากการลาออกจากตำแหน่งของ Rore ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมอาจารย์เดียวกันคือ Willaert เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม ค.ศ.1565 ทำให้ Zarlino ได้รับการแต่งตั้งให้ขึ้นดำรงตำแหน่ง maestro di cappella of St.Marks ซึ่งเป็นตำแหน่งทางดนตรีที่ทรงเกียรติอย่างสูงในอิตาลีและดำรงตำแหน่งนี้จนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิตในปี 1583 เขาได้บัญญัติหลักการของคณะสงฆ์ที่ Chioggia Cathedral ในปีนั้นเขาเข้ารับการคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่ง Bishop โดยคณะผู้แทนจาก Chioggia แต่พลาดตำแหน่ง Zarlino ได้สอนลูกศิษย์อยู่กลุ่มหนึ่งซึ่งต่อมาได้กลายเป็นผู้มีบทบาทสำคัญใน Venetian school of composers อาทิเช่น Claudio Merulo, Girolamo Diruta, Giovanni Croce, Vincenzo Galilei และ Giovanni Maria Artusi


Zarlino เป็นผู้ที่ช่ำชองในการแต่งเพลง mass และ motet (เพลงขับร้องประสานเสียงในโบสถ์) ซึ่งแสดงถึงทักษะการใช้ counterpoint อย่างยอดเยี่ยมและในฐานะนักทฤษฎีดนตรี เขายังเป็นบุคคลแรกที่ใช้meantoneในบทเพลงได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ และเป็นคนแรกที่จำแนกความสำคัญของการใช้ triad ที่มีต่อระดับเสียงต่างๆในการคิดเสียงประสาน ซึ่งเขาได้ประยุกต์มันขึ้นจากสิ่งที่ไม่สมบูรณ์ใน Pythagorian system และเป็นผู้ที่อธิบายเรื่องกฏข้อห้ามของการขนานคู่ 5 และคู่ 8 ในกฏของ counterpoint และได้ศึกษาเกี่ยวกับผลกระทบอันเกิดจากความสัมพันธ์อันผิดพลาดเหล่านั้น

2553-01-06

History 2 : Guido D’ Arezzo




พระของนิกายเบเนดิท เขาคิดค้นระบบบรรทัดเส้น (staff-notation) ขึ้น และยังคงใช้ระบบนี้อยู่ในปัจจุบัน อีกทั้งยังทำให้เกิดสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ เพื่อประโยชน์ในทางความก้าวหน้าของดนตรีทั้งศาสตร์และศิลป์ เขาได้รับการศึกษาโดยมิชชันนารี และเมื่อเรียนจบเขาก็เป็นมิชชันนารีในนิกายเบเนดิท ณ โบสถ์ St. Maur des Fosses ในกรุงปารีส
เมื่อเขาเริ่มทำงาน เขาสังเกตเห็นความความสับสน ในการสอนและการแสดงทางพิธีกรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สิ่งที่แวดล้อมรอบตัวเขาในขณะนั้น เขาพยายามที่จะปรับปรุงสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นโดยคิดค้นวิธีการสอนที่ใช้กันในปัจจุบัน ซึ่งเขาได้อธิบายไว้อย่างละเอียดในงานเขียนของเขา เป็นผลทำให้เขาและพี่ชายไม่ค่อยได้รับความนิยมเท่าไรนัก และทำให้เขาย้ายไปอยู่ที่เมือง Pomposaใกล้เมือง Ferrara ประเทศอิตาลี แผนการต่าง ๆ รวมถึงการกล่าวร้ายทำให้เขาต้องย้ายเข้าไปอยู่ในอารามที่เมือง Arezzo
ไม่มีความแน่นอนว่าเค้าจะเข้าไปในชุมชนเมื่อไหร่ แต่มันทำให้เกิดตำแหน่ง Theudald ซึ่งคล้าย ๆ กับ Bishop ของ Arezzo และในขณะนั้น Grunwald เป็นเจ้าอาวาสของอารามนั้น ชื่อเสียงของเขาเข้าถึงหูพระสันตะปาปา ซึ่งส่งทูตไปผลักดันให้ Guido มาอยู่ที่กรุงโรมและนำเสนอหนังสือของเขาซึ่งเกี่ยวกับพิธีสักการะบูชาซึ่งถอดความมาจาก sign-notation และดัดแปลงเป็น staff-notation ที่เขาคิดค้นขึ้น
จอห์นหลงดีใจไปว่าพระสันตะปาปา ท่านเป็นผู้คิดค้นทุกอย่างเองโดยไม่ต้องรับความช่วยเหลือจากใคร และได้เชิญให้ Guido มาพักในกรุงโรม เพื่อสอนพระโรมันในระบบใหม่ และเพื่อนำเสนอหลักปฏิบัติทั่วไป โชคร้ายที่สภาพอากาศในโรมันทำให้ Guido ไม่สามารถไปตามคำเชิญได้ เขาป่วยเพราะอากาศไม่ดี และจำเป็นต้องออกจากเมืองไป เขากลับไปที่อารามในเมือง Pomposa Guido และนักบวชรูปอื่นที่ทำให้ Guido ผิดหวังจากการคัดค้านสิ่งที่เขาคิด ซึ่งตอนนี้นักบวชเหล่านี้ยอมรับในสิ่งที่ Guido คิดค้นขึ้นอย่างหมดใจ และยอมรับความผิดที่พวกเขาได้ทำไว้กับ Guido และได้ขอร้องให้ Guido มาร่วมเป็นสมาชิกในชุมชนเดียวกับพวกเขา Guido อยู่ที่ Pomposa เพียงช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น จากนั้นเขาก็ย้ายไปอยู่ที่ Arezzo
ตามที่ปรากฏในจดหมายเหตุ Guido ใช้เวลาที่เหลือของเขาในเมือง Arezzo และมีหลักฐานยืนยันว่าเขาเป็นรองเจ้าอาวาสอยู่ที่อาราม Camaldolese ใกล้เมือง Avellano และเสียชีวิตที่นั้นในปี ค.ศ. 1050 สิ่งที่เขาเหลือไว้ให้ชนรุ่นหลังคือ หนังสือชื่อ Epistola Michaeli Monaco Pomposiano ซึ่งเขาแต่งขึ้นเองโดยใช้ภาษาง่าย ๆ ส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับชีวิต เหตุการณ์สำคัญ การทดลอง และชัยชนะครั้งสุดท้าย ที่เขาชนะศัตรู (ผู้ที่คัดค้านการคิดค้นของเขา)

ผลงานของ Guido D’ Arezzo
เขาคิดค้นระบบบรรทัดเส้น (staff-notation) ขึ้น และยังคงใช้ระบบนี้อยู่ในปัจจุบัน อีกทั้งได้พัฒนาวิธีการสอนใหม่ ๆ เช่น การเขียนบรรทัด 5เส้น (staff-notation),

ระบบซอลเมเซชั่น (Solmization)
Guidoได้แนะนำให้ใช้คำต่อไปนี้ ut , le , mi , fa , sol , la เพื่อช่วยให้นักร้องจำแบบแผนของคู่เสียง 1 เสียงและครึ่งเสียงที่เรียงกัน 6 โน้ตโดยเริ่มจากโน้ต C หรือ G ก็ได้เช่น C-D-E-F-G-A จะมีขั้นครึ่งเสียงอยู่ระหว่างโน้ตตัวที่ 3 และ 4 ที่เหลือเป็นขั้น 1 เสียง คำกล่าวนี้ถูกนำมาจากคำร้องเพลง hymn(ก่อนค.ศ.800) ซึ่งตัว Guido เองคงเป็นผู้แต่งทำนองไว้เองเพื่อเป็นตัวอย่างให้เห็นแบบแผนของเสียง ชื่อเพลง Ut queant laxis พยางค์แรกของทั้ง 6 วรรคนี้ คือที่มาของแต่ละขั้นเสียง ระบบซอลเมเซชั่น (Solmization) นี้ (ปัจจุบันเรียกว่าระบบ sol-mi ) ที่ยังคงใช้ในการเรียนการสอน ยกเว้นคำว่า ut (อุท) ที่เปลี่ยนเป็น do และเพิ่มเสียง ti หลังตัว la ข้อดีของแบบแผน 6 เสียงคือ จะมีขั้นคู่ครึ่งเสียงเพียงที่เดียวคือ ระหว่างโน้ต mi กับ fa เท่านั้น





ตัวอย่าง




การเขียนตัวโน้ต (Notation)
ในสมัยนั้นยังไม่มีการบันทึกโน้ตบนบรรทัดเส้นแต่มีการถ่ายทอดเพลง chant แบบปากต่อปาก จนประมาณกลางศตวรรษที่ 9 มีเครื่องหมายที่เราเรียกว่า noumes ใช้ขีดบนร้องคำเพื่อให้รู้ว่า ตอนนี้กำลังขึ้นหรือลงหรือผสมกันทั้งสองแบบ จนถึงศตวรรษที่ 11 Guido D’ Arezzo จึงได้นำเสนอวิธีการใช้เส้น 4 เส้น (four-line staff ) โดยใช้อักษรบอกเส้น f , c และบางครั้งก็มี g (ที่กลายมาเป็นเครื่องหมายกุญแจของ [clef ] ปัจจุบัน)


ฝ่ามือกีโด (Guidonian hand) สื่อการสอนที่ใช้บอกให้รู้ถึง ตำแหน่งของ ระดับเสียงต่าง ๆ ในระบบบันใดเสียงไดอะโทนิก โดยเฉพาะตำแหน่งครึ่งเสียงระหว่างโน้ต มี – ฟา ซึ่งอยู่ที่มุมทั้งสี่ของ polygon ประกอบด้วยนิ้ว 4 นิ้ว
การประดิษฐ์เส้น staff นี้ทำให้สามารถเขียนโน้ตที่เจาะจงตำแหน่งเสียงได้อย่างถูกต้องแม่นยำ และทำให้ได้หลุดพ้นจากการเรียนแบบต่อจำด้วย

2552-11-07

History 1 : GALLICAN CHANT


มีการยอมรับเพลงสวด Gallican ใน Frankish ซึ่งมีขึ้นระหว่างศตวรรษที่ 5 และ ศตวรรษที่ 9 ในเมืองซานโฮเซ และพิธีกรรม Mozarabic ซึ่งเกี่ยวข้องกับ Gallican, โดยเป็นการแสดงการโครงสร้างแตกต่างกันของพิธีกรรมในยุคโรมัน.
โดยในระหว่างการเข้าชม พระสันตะปาปา 752-3 และสมเด็จพระสันตะปาปาสตีเฟนที่ 2 ได้รัวกระเดื่องโดยใช้เพลงสวดในยุคโรมัน. ตามที่ Charlemagne, Pepin พ่อของเขา และ Chrodegang ของเมทซ์ ในพิธี Abolished Gallican ที่เห็นใช้ในยุคโรมัน เพื่อเสริมสร้างความเสมอภาคกับโรมจะยุติการเพิ่มระดับของ Charlemagne
คริสต์ศตวรรษ 9 พิธีกรรม Gallican และเพลงสวดที่มีประสิทธิภาพถูกตีกรอบมากขึ้น อย่างไรก็ตาม เพลงสวดโรมันที่นำไปร้องในโบสถ์ Carolingian ถูกปรับแต่งจนสมบูรณ์ขึ้นตามคำเรียกองค์ประกอบทางดนตรี และถูกเขียนจากอิทธิพลทางเพลงสวด Gallican ภายในเครื่องหมายอันเป็นผลลัพธ์ของเพลงสวด Carolingian ซึ่งได้รับการพัฒนาจนกลายเป็น Gregorian chant ซึ่งถือว่าเคยเป็นเพลงสวดในยุคโรมัน แต่หนึ่งในบางส่วนของ Gallican ได้สูญหายไป และมีเพียงบางส่วนเท่านั้นที่ถูกค้นพบ
ในปัจจุบันไม่มีหนังสือเพลงสวดของ Gallican อย่างแพร่หลายนัก แต่มีการอ้างอิงว่าค้นพบหนังสือเพลงสวดบางเล่มที่เป็นเพลงสวดธรรมดา โดยมีข้อความ Gallican กับ psalms และเพลงสวดต่างๆ ซึ่งสิ่งที่เรารู้ว่าเพลงสวด Gallican มาจากคำอธิบายที่ทันสมัย และองค์ประกอบบางส่วนของ Gallican ที่ยังหลงเหลือในภายหลังคริสต์ศักราชปัจจุบัน
ถึงแม้ว่าเพลงสวด Gallican จะแตกต่างจากเพลงสวดยุคโรมันที่ได้รับการยอมรับมากกว่า ซึ่งปรากฏข้อความ ทั้งในเพลง Walahfrid Strabo ที่เขียนขึ้นในศตวรรษที่ 9 โดยถูกตัดสินว่าเป็นเพลงสวดที่ "สมบูรณ์แบบมากขึ้น" และมักถูกเปรียบเทียบกับของโรมัน ซึ่งอาจมีผลต่อความสำคัญของเพลง melismatic ในเพลงสวด Gallican เมื่อเปรียบเทียบกับโรมัน คือการใช้โทน reciting ในช่วงคริสต์ศักราชหนึ่ง psalmody อาจถูกสืบทอดมาจากเพลงสวด Gallican. ส่วนองค์ประกอบอื่นของเพลงสวด Gregorian ซึ่งไม่ค่อยพบเหมือนในยุคโรมันอาจแสดงให้เห็นถึงข้อแตกต่าง ที่ neume ถูกค้นพบจากแหล่งที่มาของ Gaulish ซึ่งเป็นขั้นตอนการขึ้นต้นที่มีระยะห่างที่สอง คือซ้ำ เช่น C-D-D และบางชนิดเพลงส่วนGallican ได้แสดงอิทธิพลโดยตรงจากเพลงสวดไบแซนไทน์ รวมถึงการใช้ข้อความเป็นภาษากรีก
สำหรับเทคนิคการแต่ง เป็นการรวมบาง incipits ทั่วไปของ cadences และการใช้งานของ centonizationสำหรับเพลงสวดในบางพิธี ช่วงคริสต์ศักราชปัจจุบันอาจหลงเหลือเพลงสวด Gallican ไม่ค่อยปรากฏมากนักเท่าในประเพณีโรมัน แต่จะมีโบสถ์บางพื้นที่ในประเพณีที่ใช้เพลงสวด Mozarabic Ambrosian ซึ่งจะมีในบางประเพณี และบางท้องถิ่น หรืออาจพบในพิธีปฏิญาณตนในฝรั่งเศส และพิธีกรรมเฉพาะกิจเท่านั้น